ทำเนียบผู้นำโลก เกือบจะได้ต้อนรับน้องใหม่ ประธานาธิบดีคนล่าสุด ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ประมุขรัฐไทยใหม่แล้ ว ถ้าเจ้าตัวไม่รีบกระโดดตัวลอยออกมาปฏิเสธเสียก่อน
เคยแต่ให้ร้ายป้ายสี โจมตีกล่าวหาคนอื่นว่าเลวไปหมด มีแต่ตัวเองเท่านั้น ที่ดีเลิศประเสริฐศรี อยู่คนเดียว โดนแค่นี้ยังถือว่าน้อยไป
แถลงการณ์ของ นช. ทักษิณ ระบุว่า “ ตามที่มีบุคคลผู้ไม่ปรารถนาดีต่อบ้านเมืองไปขึ้นป้ายในบริเวณถนนสีลม ไปในทำนองว่า ผมคือประมุขของรัฐไทยใหม่ และเป็นประธานาธิบดีนั้น ผมขอประณามการกระทำนี้ ว่าเป็นการใช้ความเท็จจงใจใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุด การกระทำดังกล่าวนี้เป็นการกระทำของผู้ไม่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง และต้องการสร้างความแตกแยกในแผ่นดินให้ขยายวงกว้างออกไปอีก บุคคลดังกล่าวนี้กำลังเพลิดเพลินกับการทุจริตเงินภาษีของประชาชน ซ้ำร้ายยังตอกลิ่มสร้างความแตกแยกในชาติอีก ผมขอเรียกร้องให้บุคคลเหล่านี้ยุติการกระทำเช่นนี้เสีย เพราะนอกจากจะไม่มีคนไทยเชื่อสิ่งที่พวกท่านกำลังทำ ท่านกำลังทำบาปและสร้างความแตกแยกในชาติ”
รู้ได้อย่างไรว่า คนไทยไม่เชื่อ
ใครคือคนที่ใช้คำว่า รัฐไทยใหม่ ไม่ใช่แกนนำไพร่แดง บริวารของตัวเองที่ประกาศว่า จะโค่นอำมาตย์ เพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ หรอกหรือ
ใครที่ให้สัมภาษณ์นายริชาร์ด ลอยด์ แพรรื แห่งเดอะไทมส์ ออนไลน์ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 วิพากษ์วิจารณ์ ให้ร้ายงสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างไม่บิดบังอำพรางเจตนาอันแท้จริงของตนเอง เมื่อรู้ตัวว่า พลาด ก็โยนความผิดไปให้ผู้สัมภาษณ์ และแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่า ภาษาอังกฤษไม่ดี จึงสื่อสารผิด
ใครที่อยู่เบื้องหลังขบวนการล้มเจ้า ทั้งบนดิน ใต้ดิน และที่แสดงออกโดยเปิดเผย บนเวทีการชุมนุมของไพร่แดง
สติ๊กเกอร์ “ ประธานาธิบดีทักษิณ ชินวัตร ประมุขรัฐไทยใหม่” แม้ยังไม่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ทำ จะเป็นของจริง หรือของปลอม แต่ข้อความนั้น ฟันธงเป้าหมาย เจตนาของขบวนการไพร่แดงได้ตรงเป๊ะ ไม่ผิดเพี้ยน ไปจากสิ่งที่กำลังดำเนินการกันอยู่หรอก
เรื่อง ทักษิณ อยากเป็นประธานาธิบดีนั้น มีทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ คนหนึ่งที่เชื่อ คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คิดจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีและยังได้กล่าวอภิปรายในสภาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ว่า “ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบระบอบประธานาธิบดี ในจิตใจส่วนลึกของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยากเป็นประธานาธิบดี”
นช. ทักษิณ นำเรื่องนี้ไปฟ้องศาลให้ลงโทษ นายสุเทพ ข้อหาหมิ่นประมาท ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2552 ยกฟ้อง เพราะเห็นว่า นายสุเทพ แสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตน หรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ทั้งยังเป็นการทำหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 8 และมาตรา 175
ส่วนพฤติกรรมของ นช. ทักษิณ ในส่วนที่เป็นทัศนคติต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ศาลได้พิเคราะห์จากพยานหลักฐานว่า
“ โจทก์เคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2544 ถึง 2549 ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) เห็นว่าโจทก์มีพฤติการณ์เหยียบย่ำ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จึงได้เทศนาสั่งสอนโจทก์เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2548 ว่า อย่าคิดอาจเอื้อมเป็นประธานาธิบดี
ในส่วนตัวโจทก์เองก็ได้แสดงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหา กษัตริย์ คือ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2548 โจทก์ได้พูดกับกลุ่มบุคคลที่หอประชุมอินดอร์สเตดียมหัวหมาก ด้วยข้อความไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์ ต่อมาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 โจทก์ได้พูดในรายการนายกทักษิณ คุยกับประชาชน ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เรื่องการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของโจทก์ โดยใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์ และเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 โจทก์ได้พูดต่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ว่ามีผู้บารมีเหนือรัฐธรรมนูญมาก่อความวุ่นวายต่อระบอบประชาธิปไตยมากเกินไป จนทำให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การกระทำของโจทก์ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยว่าโจทก์ไม่ปกป้องต่อสถาบันพระ มหากษัตริย์
เมื่อโจทก์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วได้มีการชุมนุมของกลุ่มคน เสื้อแดง โจทก์ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชาชน ระหว่างสัมมนาที่โรงแรมที่อำเภอเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา โดยโจทก์ยอมรับว่าคนเสื้อแดงเป็นพลังสนับสนุนที่สำคัญของโจทก์ การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงทุกครั้งได้นำรูปของโจทก์ขึ้นนำขบวน
โจทก์ยังได้พูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องให้บรรดาสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และ พรรคเพื่อไทย ขึ้นกล่าวปราศัยบนเวทีของคนเสื้อแดง นอกจากนี้ ร้อยตำรวจโท เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ก็ได้อภิปรายยอมรับต่อที่ประชุมสภา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ว่า “พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย มีความเชื่อมโยงกันเป็นเนื้อเดียวกัน และพรรคเพื่อไทยก็ได้จัดทำเสื้อแดงเตรียมไว้ให้บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทยเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2551” และการชุมนุมของคนเสื้อแดงทุกครั้งมักจะพูดพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น การชุมนุมเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2550, วันที่ 10 มิถุนายน 2551, วันที่ 15 สิงหาคม 2251 โดยเฉพาะการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551 กลุ่มคนเสื้อแดงได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ติดไว้ที่ฉากหลังเวที โดยมีข้อความที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2552 มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงหลายครั้งและมีการตั้งโต๊ะเสนอให้ยกเลิก ประมวลกฎหมายอาญาข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากพฤติกรรมของโจทก์เป็นผลให้ พล.ต.อ.วิสิษฐ เดชกุญชร เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ว่าโจทก์หลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์
นอกจากนี้ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ ก็ยังได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า โจทก์จ้องล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ตามหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 4 เม.ย. 2552 ซึ่งโจทก็น่าจะหยุดการกระทำอันไม่บังควรดังกล่าว แต่โจทก์กลับไม่หยุด และในทางกลับกันโจทก็กลับให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเซี่ยลไทม์ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควรทราบเรื่องแผนการรัฐประหารมาล่วงหน้า” ตามหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 15 พ.ค.2552 โจทก์ยังได้ให้การสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงให้มาชุมนุมกันที่ถนนราชดำเนิน ลานพระบรมรูปทรงม้า จนนำไปสู่การจลาจล ซึ่งชวนให้เห็นว่า เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติโดยประชาชนตามคำชักชวนของโจทก์
ทั้งนี้ เพราะโจทก์กับกลุ่มคนเสื้อแดงย่อมรู้อยู่แล้วว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยรูปแบบอื่นตามที่โจทก์ต้องการไม่อาจทำได้โดย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 ม.291 วรรค 2
จากพฤติการณ์ของโจทก์และกลุ่มคนเสื้อแดงย่อมบ่งชี้ให้เห็น ว่ามีเจตนาที่ส่อไปในทางที่สอดคล้องกับคำเทศนาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโน จำเลยอยู่ในฐานะอันชอบธรรมที่จะแสดงความคิดเห็นได้ ทั้งนี้ เพราะจำเลยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 มาตรา 123 บัญญัติว่าก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะต้องกล่าวปฏิญาณตนในที่ประชุมสภาว่าจะปฏิบัติหน้าด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ และตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 มาตรา 175 บัญญัติว่า ก่อนเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระมหากษัตริย์ว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เครารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ซึ่งจำเลยและประชาชนผู้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะ ปกป้องพระมหากษัตริย์ให้ผู้ใดล่วงละเมิด”
---------
ที่มา: http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000054467
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น